วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554

มุสลิมปฏิบัติตนอย่างไร

มนุษย์แต่ละคนต่างมี "ช่วงเวลาแห่งชีวิตของเขา”  แต่กระนั้น ก็ยังคงมีคำถามที่ว่า "แล้วใครคือผู้เติมเต็มสิทธิแห่งการมีชีวิต?" 
“บรรดาสัตว์” ที่ไร้ซึ่ง “สติปัญญา” และ “ความเฉลียวฉลาด” สามารถดำเนินชีวิตของพวกมันได้ด้วยดี อย่างไรก็ตาม "มนุษย์" ที่มีทั้ง "สติปัญญา" และ "ความเฉลียวฉลาด" ย่อมดำเนินชีวิตของพวกเขาได้ดีกว่าและเหนือกว่าอย่างมาก  เช่นเดียวกัน "ผู้ปฏิเสธ" เองก็ดำเนินชีวิตแต่ละวันของเขาไปได้โดยที่พวกเขาวนเวียนอยู่ในความมืดมิดบนหนทางที่ผิดและเบี่ยงเบน อย่างไรก็ตาม "ชีวิตของพวกเขาเหล่านั้น" ต่างจาก “ชีวิตของมุสลิม” ที่ดำเนินชีวิตอยู่บน "ความปลอดภัย" "ความราบรื่น” ตามหลักการแห่งพระวัจนะของพระผู้เป็นเจ้า
“ช่วงเวลากลางวันและกลางคืนของผู้ปฏิเสธ” ย่อมถูกใช้ไปด้วยความมืดมิดแห่งจิตวิญญาณ ขณะที่ “บรรดามุสลิม” ใช้เวลาทั้งในช่วงกลางวันและกลางคืนของเขาด้วยแสงสว่างแห่งจิตวิญญาณ ดังนั้น "คำถามหนึ่งจึงเกิดขึ้นมา" คือ บรรดามุสลิมแต่ละคนนั้นควรใช้ชีวิตของเขาทั้งในช่วงกลางวันและกลางคืนอย่างไรเพื่อที่จะทำให้การดำเนินชีวิตของเขานั้นแตกต่างจากชีวิตของบรรดาผู้ปฏิเสธ 
มุสลิมแต่ละคน ควรใช้เวลาของเขาทั้งในช่วงกลางวันและกลางคืนของเขา ด้วยสิ่งเหล่านี้ 

1.       จงแสวงหาความรู้ด้านศาสนาที่สอดคล้องต่อความจำเป็นของคุณ คุณสามารถที่จะแสวงหาความรู้ได้ด้วยการอ่านหนังสือ หรือแสวงหาความรู้จากบรรดาอุลามะฮฺ
2.       จงยับยั้งจากการกระทำบาปทั้งหลาย
3.       หากคุณกระทำความผิดบาปอย่างใดอย่างหนึ่ง จงทำการขออภัยโทษ สำนึกผิดต่ออัลลอฮฺโดยทันที
4.       จงอย่าล้าช้าในการเติมเต็มสิทธิของผู้อื่น จงอย่าสร้างความเจ็บปวดใดๆ ต่อผู้คนไม่ว่าจะเป็นทางกายหรือทางวาจา และจงอย่ากล่าวร้ายต่อใคร
5.       จงอย่ามีความรักต่อ “ทรัพย์สิน” หรือ “ความใคร่ปรารถนาต่อการมีชื่อเสียง หรือเกียรติยศใดๆ”  จงอย่าทำให้ตัวของคุณต้องหมกมุ่นอยู่กับการกินดื่มหรือการแต่งกายที่ฟุ่มเฟือย
6.       หากมีผู้ใดก็ตามที่ประนามด่าทอความผิดหรือความผิดพลาดใดๆ ของคุณ จงอย่าพยายามหาเหตุผลแก้ตัวต่อการกระทำของคุณ จงยอมรับในความผิดนั้นและสำนึกผิดเสีย  
7.       จงอย่าเดินทางหากไม่มีความจำเป็นใดๆ ด้วยเพราะว่า "การกระทำที่ผิดพลาด (ในการทำอิบาดะฮฺ)" อาจเกิดขึ้นขณะเดินทาง คุณอาจพลาดจากการกระทำความดีงามมากมาย  เพราะมันอาจเกิดความบกพร่องในรูปแบบที่แตกต่างกันของการซิเกรฺ (การรำลึกถึงอัลลอฮฺ) และคุณอาจไม่สามารถที่จะปฏิบัติศาสนกิจภายในเวลาได้ (ขณะเดินทาง)
8.       จงอย่าหัวเราะหรือพูดมากจนเกินไป คุณควรระมัดระวังเป็นพิเศษในการที่จะไม่พูดคุยกับ "กอยัรฺ มะหฺรอม"  (คือผู้ที่ไม่สามารถแต่งงานกันได้ในช่วงเวลาหนึ่ง และอาจที่จะสามารถแต่งงานกันได้ในภายหลัง เช่นพี่เลี้ยง ที่ได้รับการเลี้ยงดู อุปการะ, หรือลูกพี่ลูกน้อง เป็นต้น) ด้วยวิธีการพูดคุยเป็นกันเอง

*กอยัรฺ มะหฺรอม (Ghayr Mahrams) หมายรวมถึงผู้ชายทุกคนที่สตรีสามารถแต่งงานด้วยได้ (ตัวอย่างเช่นญาติพี่น้อง หรือผู้ชายทั่วไป) หรือผู้ชายที่ไม่ได้รับการอนุญาตให้แต่งงานด้วยได้ในช่วงเวลาหนึ่ง และอาจจะสามารถแต่งงานกับเธอได้ในอนาคต เนื่องด้วยสภาพหรือสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป หรืออีกนัยหนึ่งนั้น หมายถึง "ผู้ชาย" ที่ไม่ได้รับการอนุมัติชั่วระยะเวลาหนึ่ง (ยกตัวอย่างเช่น "สตรีมุสลิมที่แต่งงานแล้ว" ย่อมเป็นที่ต้องห้ามในการที่จะแต่งงานกับมุสลิมชายอีกคนหนึ่ง ตราบใดที่เธอยังคงสถานะการแต่งงานอยู่ หากแต่เมื่อเธอได้หย่าขาดจากสามีเดิมและผ่านช่วง "อิดดะฮฺ" (ช่วงเวลาการรอคอยหลังจากการหย่า) ไปแล้ว เธอย่อมสามารถที่จะแต่งงานกับมุสลิมชายอีกคนได้ และเขาก็ไม่เป็นที่ต้องห้ามสำหรับเธออีกต่อไป)  
Ref: http://www.islamicinformation.net/2008/07/mahram-in-islam-explained.html

9.       จงอย่าบอกเล่าหรือพูดเกี่ยวกับ "การโต้แย้งที่เกิดขึ้นระหว่างคนสองคน" ให้ผู้อื่นทราบ
10.   พึงระวังเกี่ยวกับ "กฏชารีอะฮฺ" ในทุกๆ การกระทำของคุณ
11.   จงอย่าแสดงความเกียจคร้านในการทำอิบาดะฮฺใดๆ ก็ตาม
12.   จงพยายามใช้เวลาส่วนใหญ่ของคุณในการที่จะอยู่เพียงลำพัง (เพื่อการรำลึกถึงอัลลอฮฺ และกระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ :เพิ่มเติมโดยผู้แปล)
13.   หากคุณจำต้องพบปะหรือสนทนากับผู้คน จงแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนและไม่แสดงตัวเหนือกว่าพวกเขา
14.   คุณควรที่จะคบค้าสมาคมกับบรรดาผู้นำและบรรดาผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงให้น้อยที่สุด
15.   จงออกห่างจากบรรดาผู้ที่ไร้ศาสนาให้มากที่สุด
16.   จงอย่าแสวงหาความผิดของผู้อื่น และอย่าคิดไม่ดีต่อพวกเขา หากแต่จงมองหา “ความผิดของตัวคุณเอง” และพยายามปรับปรุงแก้ไขสิ่งเหล่านั้นเสีย
17.   คุณควรให้ความสำคัญต่อ "การละหมาด" ด้วยมรรยาทที่ดีงาม ในเวลาที่เหมาะสม และสำรวมตนในเวลาละหมาด (คุชัวะอฺ)
18.   จงทำให้ตัวของคุณยุ่งอยู่กับการรำลึกถึงอัลลอฮฺ (การซิเกรฺ) ไม่ว่าจะด้วยใจของคุณหรือลิ้นของคุณ จงอย่าละเลยสิ่งนี้ไม่ว่าจะเมื่อใดก็ตาม
19.   หากคุณประสบกับความพึงพอใจใดๆ ในการรำลึกถึงพระนามของอัลลอฮฺ และหัวใจของคุณรู้สึกถึงความสุขต่อสิ่งนี้ จงทำการสรรเสริญ ขอบคุณต่ออัลลอฮฺ
20.   จงพูดด้วยวิธีการที่ดีและมีความนอบน้อม
21.   บริหารเวลา จัดตารางเวลาสำหรับหน้าที่การงานทั้งหลายของคุณและปฏิบัติตามมันอย่างเคร่งครัด
22.   ใคร่ครวญต่อความเศร้าโศก ความเสียใจ หรือความสูญเสียที่คุณประสบว่า สิ่งเหล่านั้นมาจากพระประสงค์ของอัลลอฮฺ จงอย่าท้อแท้ สิ้นหวัง หากแต่จงรำลึกว่าคุณย่อมได้รับรางวัลการตอบแทนจากสิ่งที่คุณได้ประสบ
23.   จงอย่าใช้เวลาทั้งหมดไปกับการนึกถึง "เรื่องราวของโลกดุนยา" "การคิดคำนวณ" "กำไร" หรือ "ขาดทุน" เป็นต้น หากแต่จงรำลึกถึงอัลลอฮฺให้มาก
24.   จงพยายามให้ความช่วยเหลือและกระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้คนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้  โดยไม่คำนึงว่า “การกระทำนั้นๆ” จะเป็นกิจการในโลกดุนยาหรือกิจการด้านศาสนาก็ตาม
25.   จงอย่ากินและดื่มน้อยจนเกินไป จนทำให้ร่างกายของคุณอ่อนแอ และล้มป่วยลง และอย่ากินหรือดืมมากจนเกินไป จนทำให้คุณเกิดความเกียจคร้านในการปฏิบัติอิบาดะฮฺทั้งหลาย
26.   จงอย่ามีความปรารถนาหรือความโลภต่อสิ่งใดๆ จากผู้คน เว้นแต่อัลลอฮฺ จงอย่าปล่อยให้จิตใจของคุณหมกมุ่นกับความคิดที่ว่าคุณจะได้รับกำไร หรือผลประโยชน์จากที่นั่น ที่นี่ เพียงใด
27.   จงอย่าหยุดนิ่งในการแสวงหาความพึงพอพระทัยจากอัลลอฮฺ
28.   จงขอบคุณต่อทุกๆ ความโปรดปรานที่คุณได้รับ โดยไม่คำนึงว่ามันมากหรือน้อยเพียงใด จงอย่าโศกเศร้าเสียใจต่อความยากจนขัดสน
29.   จงมองข้ามความผิดและความผิดพลาดของผู้ที่อยู่ภายใต้การดูแลของคุณ
30.   หากคุณทราบถึงความผิดของใครสักคน จงปกปิดมันแก่เขา อย่างไรก็ตาม หากคนคนนั้นวางแผนที่จะประสงค์ร้ายต่อผู้อื่น และคุณรับทราบเกี่ยวกับเรื่องนึ้ คุณควรเตือนให้อีกฝ่ายรับทราบ (เพื่อให้เขาระวังและป้องกันตัว)
31.   จงให้การต้อนรับแขกผู้มาเยือน ไม่ว่าจะเป็นผู้เดินทางมาไกล คนแปลกหน้า บรรดาอุลามะฮฺ หรือบ่าวผู้ศรัทธาของอัลลอฮฺ
32.   จงเลือกคบเพื่อนที่ดี มีคุณธรรม
33.   มีความยำเกรงต่ออัลลอฮฺตลอดเวลา
34.   จงรำลึกถึงความตาย
35.   หาช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งในแต่ละวันไว้สำหรับการใคร่ครวญ พิจารณาถึงการกระทำทั้งหลายที่คุณได้ทำในแต่ละวัน เมื่อคุณตระหนักถึงความดีงามที่คุณได้กระทำ จงทำการสรรเสริญขอบคุณอัลลอฮฺ และเมื่อคุณตระหนักถึงความผิดบาปที่คุณได้กระทำ จงทำการสำนึกผิดต่ออัลลอฮฺ
36.   จงอย่าพูด “โกหก”
37.   จงอย่าเข้าร่วมในกิจการ หรือกลุ่มคน ที่มีความขัดแย้งกับหลักชารีอะฮฺ
38.   จงดำเนินชีวิตด้วยความละอาย ความอ่อนน้อม ถ่อมตน และความอดทนอดกลั้น
39.   จงอย่าภาคภูมิใจต่อตัวคุณเอง โดยคิดว่า “ฉันมีคุณสมบัติดีดีมากมาย ในตัวฉัน”
40.   จงขอดุอาอฺต่ออัลลอฮฺตลอดเวลาให้พระองค์ทรงทำให้คุณยึดมั่น และยืนหยัดอยู่ในหนทางที่ถูกต้องนี้

สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า

จากสถิติของบริษัท Lioyd's ov London
ซึ่งเป็นบริษัทรับประกันภัยเรือเดินสมุทร พบว่านับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1963 ถึง 1973
มีเรือในประกันของบริษัทจำนวน 60 ลำ รวมผู้โดยสาร 900 คน ได้หายสาบสูญไปในบริเวณน่านน้ำเบอร์มิวด้า
โดยเฉพาะในปี ค.ศ. 1967 มีเรือทะเล เรือพาณิชย์ขนาดใหญ่ได้หายไปอย่างลึกลับ
เป็นจำนวน 15 ลำ ทั้ง 15 ลำไม่มีการส่งสัญญาณ "SOS" หรือส่งวิทยุขอความช่วยเหลือใดๆ ทั้งสิ้น
สิ่งที่แปลกและน่ากลัวไปกว่านั้น คือ เรือทั้ง 15 ลำเป็นเรือขนาดใหญ่ มีอุปกรณ์เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์
ช่วยในการเดินเรือแบบทันสมัยบริบูรณ์ เช่นวิทยุสื่อสาร เรดาร์นำร่องโซน่าร์นำร่อง
การค้นหาได้กระทำกันเป็นเดือนๆ แต่ก็ประสบผลล้มเหลวโดยสิ้นเชิงไม่พบแม้แต่เงา

เป็นตัวอย่างได้มาจากบริษัทประภัยของเอกชนที่ต้องจ่ายประกันไป จนบริษัทแทบล้มละลาย
นำมาซึ่งความงุนงง ให้แก่ผู้ที่อยู่ข้างหลังอย่างสิ้นหวัง อะไรเกิดขึ้นกับเรือเหล่านั้น
ลูกนาวี 900 คนหายไปไหน???

ทฤษฎีการบ่ายเบนของสภาพเวลาอวกาศ
ดร.แซนเดอร์สัน ไอแวน (Dr" Sanderson Ivan) เป็นผู้เสนอแนวความคิดนี้ขึ้นเป็นทฤษฎีทางเวลาอวกาศ เขียนไว้ในหนังสือชื่อ "Invisible Residents"
ทฤษฎีนี้กล่าวสรุปว่า บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า อาจเป็นบริเวณที่มี "สาเหตุไม่ปกติ" ทางธรรมชาติเกิดขึ้นเนื่องมาจากเป็นบริเวณที่มีการเปลี่ยนแปลง
ของสนามแม่เหล็กโลก และสนามไฟฟ้าของโลกมากที่สุด  เมื่อมีกระแสน้ำอุ่นจากตอนเส้นศูนย์สูตรไหลขึ้นไปทางเหนือของมหาสมุทรแอรแลนติก
ปะทะกับกระแสน้ำเย็นที่ไหลลงสู่ทางใต้จากขั้วโลกเหนือ การปะทะกันของกระแสน้ำทั้งสองชนิดทำให้เกิดการแบ่งตัวกันของระดับน้ำเป็นชั้นๆ
ชั้นบนจากผิวน้ำลงไปสู่ความลึกประมาณ 500 ถึง 1,000 ฟุต จะเป็นชั้นของกระแสน้ำอุ่น ลึกลงไปจากนี้ก็จะเป็นชั้นของกระแสน้ำเย็น
ทั้งสองชั้นนี้มีทิศทางการไหลของน้ำสวนทางกัน ซึ่งอยู่ในระดับความลึก 500 ถึง 1,000 ฟุต จะเกิดการอันแน่นของกระแสน้ำ มีการขัดถูกัน
และมีการถ่ายเทอุณหภูมิกันอย่างมากมาย เกิดการถ่ายถ่ายเทขัดสีกันของประจุไฟฟ้าสถิตขึ้นอย่างมากมาย เป็นจำนวนมหาศาลหลายพันล้านโวลต์
เกิดการเหนี่ยวนำของสนามไฟฟ้าเป็นผลตามมา ประกอบกับการผันแปรของสนามแม่เหล็กโลกซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งในบริเวณนี้

การผันแปรของสนามแม่เหล็กโลก และสนามไฟฟ้าอาจมีการแปรผันสัมพันธ์กัน นำไปสู่ภาวะการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นชั่วคราว
กระทบกระเทือนกับสนามแรงโน้มถ่วงของโลกในบริเวณนั้น..และนี่คือผลกระทบที่ทำให้เกิดการบ่ายเบนของสภาพเวลา-อวกาศเมื่อสาเหตุไม่ปกตินี้เกิดขึ้น
ก็จะทำให้เรือหรือเครื่องบินที่บังเอิญอยู่ตรงบริเวณนั้นในขณะนั้น แล่นหรือบินออกจากจุดแห่งความแตกต่างของห้วงกาลเวลา
หรืออีกนัยหนึ่งอาจกล่าวได้ว่าบริเวณนั้น มีการเปลี่ยนแปลงของมิติที่ 4 เกิดขึ้น เรือหรือเครื่องบินก็ตาม อาจหลุดหรือผ่านเข้าไปสู่อีกมิติหนึ่ง
หรืออีกกาลเวลาหนึ่งก็ได้

และนี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้เรือ หรือเครื่องบินหายวับไปโดยปราศจากร่องรอย  นอกจากนี้ ทฤษฎีของ ดร.แซน เดอร์สัน ยังสามารถใช้อธิบาย
ในกรณีที่มีเครื่องบินหายไปจากจอเรดาร์ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วก็กลับปรากฏขึ้นมาอีกได้นั้นหรือในกรณีที่เครื่องบินหายไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง
แล้วกลับมาโดยไม่ทราบว่าหายไปไหนมา ..ทั้งนี้เพราะเหตุที่ว่าเครื่องบินเหล่านั้น ได้บังเอิญบินหลุดเข้าไปในความแปรผันของสนามเวลา
ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางมิติขึ้นในทันทีทันใด จุดแปรผันของกาลเวลาอาจเป็นเพียงบริเวณเล็กๆ ที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น
ดังนั้นจึงมิได้ทำให้เครื่องบินนั้นเคลื่อนย้ายออกไปจากมิติ หรือกาลเวลาปัจจุบันมากนัก ระยะเวลาที่เกิดขึ้นกับเครื่องบินอาจจะเป็นชั่วระยะสั้นๆ
แค่ 1 ในพันของวินาที หรืออาจจะไม่ถึงพริบตา แต่จะทำให้เกิดความแตกต่างกันกับเวลาบนโลกนับได้เป็นนาที หรือชั่วโมงก็เป็นได้

และก็ด้วยการแปรผันอย่างรุนแรงของสภาพมิติ ในบางครั้ง มันก็อาจทำให้เรือเดินทะเลขนาดใหญ่ หรือเครื่องบินทั้งฝูงหลุดเข้าไป
สู่อีกห้วงหนึ่งของกาลเวลาที่ไม่ใช่ปัจจุบัน และผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้นก็จะติดอยู่ในห้วงแห่งกาลเวลานั้น
โดยไม่มีทางได้กลับออกมาสู่มิติเดิมของเขาได้อีกเลย

วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2554

ผลร้าย

การซิกรุลลอฮฺ
               6. “การรำลึก (اَلذِّكْرُ )  ไม่ถูกกำหนดเงื่อนไขด้วยกาลเวลา  สถานที่  หรือ  วิธีการที่แน่นอน  หากแต่จะผสมผสานอยู่ในวิถีชีวิตทั้งหมด  ในทุกเวลาและทุกขณะ  พระองค์อัลลอฮฺ  (ซ.บ.)  ทรงดำรัสว่า

(وَاذكُرْرَبَّكَ إِذَانَسِيْتَ )
“และจงรำลึกถึงพระผู้อภิบาลของสูเจ้าเมื่อสูเจ้าหลงลืม”  (อัลกะฮฺฟิ : 24)

               หมายถึงให้รำลึกเป็นนิจสินและหากเราใคร่ครวญบรรดาโองการที่พระองค์อัลลอฮฺ  (ซ.บ.)  ทรงมีบัญชาให้เราทำการรำลึก  เราจะพบว่า  การรำลึกนั้นจำต้องควบคู่อยู่ตลอดเวลาสำหรับมนุษย์  จะไม่แยกจากกันเลย

(ألاَبِذِكْرِاللهِ ﺗَﻄْﻤَﺌِﻦُّ الْقُلُوْبُ )
“พึงสังวรณ์  ด้วยการรำลึกถึงองค์พระผู้เป็นเจ้านั้นหัวใจทั้งหลายจะสงบลง”
(อัรเราะอฺดุ : 28)

               การแสดงออกต่อธารกำนัลไม่ถือเป็นเงื่อนไขในการรำลึก และเกรงว่าจะมีการโอ้อวด  (اَلرِّيَاءُ )  เกิดขึ้นพร้อมกับการแสดงออกนั้น  อีกทั้งไม่มีเงื่อนไขว่าการรำลึกต้องมีครูฝึก และไม่ต้องการสื่อกลางแต่อย่างใด...” (ชัรฮุลอัรบะอีน อันนะวาวียะฮฺ , สะมีร อะฮฺมัด อัลอัฏฏ๊อร ; ดารุ้ลอิหม่าม อันนะวาวีย์ ดามัสกัส หน้า 124)
—————————————————————————————————————————————————
               ผลร้ายของการประพฤติชั่ว
               
7. ส่วนหนึ่งจากผลร้ายของการฝ่าฝืนหลักคำสอนของศาสนานั้นคือ  

               1. มีผลทำให้ชีวิตสั้น ขาดสิริมงคล                                7. ทำให้ผู้ฝ่าฝืนขาดความหึงหวงในสิ่งที่ดี
               2. มีผลทำให้ผู้ฝ่าฝืนต้องประพฤติชั่วซ้ำซาก                   8. ทำลายความละอายต่อบาป
               3. ทำให้การเตาบะฮฺ (การสำนึกผิด) อ่อนแอลง                9. ทำให้หัวใจเกิดโรคร้ายและมืดบอด
               4. ทำให้ผู้ฝ่าฝืนอัปยศไร้ค่า ณ พระผู้เป็นเจ้า                 10. ทำให้ความโปรดปรานหมดไป  
               5. เป็นเหตุแห่งความวิบัติในโลก                                  11. ทำให้ผู้ฝ่าฝืนกลายเป็นชนชั้นต่ำ
               6. เป็นเหตุให้เกิดธรณีสูบและธรณีพิบัติ                        12. เป็นเหตุแห่งการติเตียน      


               
(เก็บความจากอัดดาอุ้ วัดดะวาอฺ / อัลญะวาบุ้ลกาฟี ลิมันซะอะล่า อะนิดดะวา อัชชาฟี ; อิบนุ ก็อยยิม อัลเญาซียะฮฺ ดารุ้ลกุตุบ อัลอิลฺมี่ยะฮฺ เบรุต)
—————————————————————————————————————————————————
               8. ผลร้ายของการเยินยอ 
               ในการเยินยอนั้นมีความวิบัติ 6 ประการ 4 ประการจะเกิดแก่ผู้เยินยอ และอีก 2 ประการจะเกิดแก่ผู้ถูกเยินยอ กล่าวคือ

              1. ลางทีผู้เยินยอ ยกยอปอปั้นจนเกินเหตุ ผู้เยินยอจึงตกอยู่ในข่ายมุสาวาจา
               2. ลางทีผู้เยินยอ แสแสร้งว่ารักใคร่ผู้ถูกเยินยอ ทั้งที่หามีความรักภายในใจต่อผู้ถูกเยินยอไม่ ผู้เยินยอจึงตกอยู่ในข่ายของการเสแสร้งโอ้อวด (ริยาอฺ)
               3. ลางทีผู้เยินยอ พูดกล่าวถึงสิ่งที่ตนขาดความมั่นใจ (คือไม่รู้แน่ชัด) ผู้เยินยอจึงพูดในสิ่งที่ตนไม่รู้
               4. ผู้เยินยอทำให้ผู้ถูกเยินยอเกิดความสุขใจ ซึ่งบางทีผู้ถูกเยินยอนั้นเป็นคนอธรรม ผู้เยินยอจึงมีบาปเพราะทำให้ความสุขใจเข้าสู่หัวใจของคนอธรรมนั้น
               5. คำเยินยอนั้นอาจก่อให้เกิดความหยิ่งผยองและลำพองตนแก่ผู้ที่ถูกเยินยอ
               6. ผูู้กเ
ยินยอพึงใจกับคำยกยอปอปั้นนั้น ทำให้ผู้ถูกเยินยอพึงพอใจในตัวเองและลดการประพฤติความดี
               (เก็บความจากปะนาวัร บาฆีย์ ฮะตี ; ชัยค์ อับดุลกอเดร อัลมันดิลีย์ หน้า 33-34)
—————————————————————————————————————————————————
               ประเภทของวิชาอ่านลักษณะคน
               
9. วิชาอ่านลักษณะคน (اَلْفِرَاسَةُ ) มี 3 ชนิด 

               1.อีมานียะฮฺ (เกี่ยวกับพลังศรัทธา) มีรัศมีที่พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงใส่เอาไว้ในหัวใจของบ่าวเป็นปัจจัยเหตุแก่นแท้ของมันนั้นเป็นการผุดขึ้นในใจที่จู่โจมหัวใจของบ่าวกระโจนเข้าใส่ประหนึ่งดังการกระโจนของราชสีห์ที่เข้าตะครุบเหยื่อ
               วิชาแขนงนี้เป็นไปตามพลังความศรัทธา ผู้ใดมีศรัทธาที่แรงกล้าเป็นที่สุด ผู้นั้นเป็นเอกในการอ่านลักษณะคน อบูสุลัยมาน อัดดารอนีย์ (ร.ฮ.) กล่าวว่า : “วิชาอ่านลักษณะคนเป็นการเปิดเผยของจิตและเป็นการมองเห็นถึงข้อตำหนิเยี่ยงการเห็นของตา ถือเป็นหนึ่งจากระดับขั้นของการศรัทธา”
               2. ริยาฏียะฮฺ (เกี่ยวกับการฝึกฝน) เกิดขึ้นได้ด้วยความหิว การอดนอนและการเข้าเงียบ (ปลีกวิเวกบำเพ็ญตบะ) ทั้งนี้เมื่อจิตปลอดจากอุปสรรคขวางกั้นทั้งหลาย ก็จะเกิดการรู้แจ้งแก่จิตเป็นไปตามการขัดเกลาให้จิตบริสุทธิ์จากอุปสรรคดังกล่าว วิชาแขนงนี้ร่วมกันทั้งผู้ศรัทธาและผู้ปฏิเสธ และไม่ใช่สิ่งบ่งชี้ถึงศรัทธาและการเป็นวะลีย์แต่อย่างใด อีกทั้งยังเป็นการรู้แจ้งในสิ่งที่ไร้ประโยชน์ และไม่ได้เกิดจากครองตนบนหนทางที่เที่ยงตรง 
               3. คิลกียะฮฺ (เกี่ยวกับบุคลิกลักษณะทางกาย) คือสิ่งที่บรรดาหมอจะให้ลักษณะเกี่ยวกับการวินิจฉัย โดยพิจารณาจากลักษณะทางร่างกายซึ่งบ่งถึงลักษณะนิสัยใจคอซึ่งสัมพันธ์กัน เช่น การมีศีรษะเล็กจนผิดปกติแสดงว่ามีปัญญา (มันสมอง) เล็ก เป็นต้น

                (เก็บความจากชัรฮุ้ลอะกีดะฮฺ อัฏฏ่อฮาวียะฮฺ หน้า 498-499)

วันอังคารที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2554

100 ข้อคิดสั้นๆแต่โดน.....

100 ข้อคิดสั้นๆแต่โดน..... 

1.เอาใจเขามาใส่ใจเรา
2.เชื่อมั่นตัวเอง
3.อย่ามองคนที่หน้าตา
4.กล้าคิด พูด และทำ
5.เมื่อมีเรื่อง จงหมั่นปรึกษาผู้อื่น
6.และจงเป็นที่ปรึกษาให้ผู้อื่นด้วย
7.อย่าโกหกกับเรื่องที่คุณคิดว่าผิด
8.ไว้ใจบุคคลที่สมควรไว้ใจ
9.เปิดใจให้กว้าง
10.มองการณ์ไกล
11.วางแผนอนาคต
12.อย่าโทษตัวเอง
13.มีความรับผิดชอบ
14ตอบแทนเมื่อได้รับ
15.ให้ในสิ่งที่ผู้อื่นอยากได้และไม่มี
16.อย่าใช้อารมณ์ แต่จงใช้ความคิด
17.คิดถึงส่วนรวมให้มาก
18.ดูแลตัวเองให้เป็น
19.รู้ผิด ชอบ ชั่ว ดี
20.อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเสียเปล่า
21.อย่ารู้ค่าสิ่งที่อยู่กับเราต่อเมื่อเราสูญเสียไปแล้ว
22.จงรู้ตัวอยู่เสมอว่าตอนนี้กำลังทำอะไร
23.ที่ทำอยู่มีผลดี ผลเสีย มีประโยชน์ หรือไร้ประโยชน์
24.อย่าวัวหายแล้วล้อมคอก
25.ให้อภัยแก่ตนเองและผู้อื่น
26.อย่าเก็บอดีตมาทำร้ายตนเอง แต่จงหัดที่จะเรียนรู้จากมัน
27.คนไม่ผิดคือคนที่ไม่เคยทำอะไร
28.ได้หน้าอย่าลืมหลัง
29.คุณไม่ใช่พระเจ้า อย่าคิดซ่อมความรู้สึก แต่จงวางแผนที่จะดูแลมันไม่ให้เสีย
30.อย่าอ่านข้อความที่มีประโยชน์ผ่านๆ
31.อ่านแล้วคิด คิดแล้วทำ หมั่นพัฒนาตนเอง
32.รู้จักแบ่งเวลา และหน้าที่
33.ทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมบ้าง
34.อย่าเห็นแก่ตัว
35.อย่ารอคอยในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
36.อย่ากลัวในสิ่งที่ตนสามารถสู้หรือเปลี่ยนแปลงมันได้
37.กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ หัดเติมให้คนอื่น แล้วเขาจะกลับมาเติมให้คุณเอง
38.เพื่อนไม่จำเป็นต้องเจอหน้ากันก้อคุยกันได้
39.อย่าคิดว่าเขาไม่โทร.มา ถ้าคุณก้อไม่เคยโทร.ไป
40.จง เป็นฝ่ายให้มากกว่าเป็นฝ่ายรับ
41.ดูแลบิดามารดาให้ดี คุณมีโอกาส รีบทำซะก่อนที่จะไม่มี
42.อย่าเสียใจกับสิ่งที่เลวร้ายหรือสูญเสียไปแล้ว มันไม่กลับมา แต่คุณสามารถทำมันใหม่หรือเรียนรู้จากมันได้
43.คำพูดเมื่อพูดไปแล้วไม่สามารถเรียกกลับมาได้ ดังนั้น คิด ก่อนพูด
44.อย่าทุ่มเทในสิ่งที่ไร้ประโยชน์
45.คำพูดให้กำลังใจคนได้ ปลอบใจได้ ยุให้ทะเลาะกันได้ ทำให้เสียความรู้สึกได้ จงรู้ที่จะพูด
46.ชีวิตไม่ใช่เกม พลาดแล้วไม่สามารถเริ่มใหม่หรือกดโหลดได้
47.หาจุดหมายให้กับชีวิต
48.เครียดได้ แต่เครียดให้เป็น
49.ถ้างง เขียนหนังสือได้ แต่เขียนให้เป็นภาษา
50.วันๆหนึ่งคุณทำอะไรบ้าง ที่ไม่ใช่ กิน นอน เล่น
51.ไม่มีหมอคนไหนรอให้คนไข้จะตายแล้วค่อยช่วยหรอกนะ
52.เพื่อนคุณก้อเช่นกัน อย่าปล่อยให้เขาเครียดจนจะตายแล้วถึงไปถามหรือดูแล
53.ร่างกายไม่ใช่เครื่องจักร ให้มันพักผ่อนซะบ้าง
54.คุณซื้อนาฬิกาได้ แต่คุณไม่สามารถซื้อเวลาได้
55.ตอนนี้มีใครคอยคุณอยู่รึเปล่า ถ้ามีกลับไปหาซะ
56.ตอนนี้คุณคอยใครอยู่รึเปล่า จะคอยอย่างนี้ไปถึงเมื่อไหร่ ทำอะไรซะบ้าง
57.อย่ากล่าวคำขอโทษบ่อย มีอะไรดีๆตั้งหลายอย่างที่ทำแล้วไม่ต้องตามไปขอโทษ
58.ตอนคุณลำบากคุณคิดถึงใคร คุณอยากให้ใครช่วยเหลือ
59.ตอนนี้คนกำลังสบายอยู่ แล้วคนที่คุณเคยขอความช่วยเหลือล่ะ หมดประโยชน์แล้วหรือ
60. ไม่ใช่ แล้วไง ต้องให้บอกต่อไหม
61.ทำอะไรก้อได้ให้ตัวเองมีความสุข แต่อย่าบนทุกข์ของคนอื่น
62.ตอนที่คนกำลังอ่านประโยคนี้ จงจำไว้ว่าคุณเป็นมนุษย์ และยังมีชีวิตอยู่
63.ใครเป็นคนทำให้คุณมีชีวิต ตอบแทนเขาบ้างหรือยัง
64.ไม่ต้องรอให้ถึงวันพิเศษใดๆ แค่เข้าไปบอกเขาว่ารักก้อเพียงพอแล้ว
65.อย่ารอให้ถึงวันเกิดเพื่อน ถึงจะได้คุยกันหรือให้ของขวัญกัน
66.ไม่มีกฏหมายข้อใดห้ามให้ของขวัญในวันธรรมดา
67.ถ้าเป็นคุณอยู่ดีๆมีเพื่อนเอาขนมมาให้ คุณจะรู้สึกดีไหม หรือดูที่ราคาขนม
68.เหล้าทำให้คุณลืมได้ตอนเมาแอ๋ แต่เพื่อนแท้ทำให้คุณลืมเรื่องร้ายๆได้ตลอดชีวิต
69.อย่าคิดว่าตนเองไม่มีเพื่อนหรือไม่มีใคร อย่างน้อยๆถ้าคุณได้อ่านข้อความนี้ จงรู้ไว้ว่าคุณยังมีคนพิมพ์คนนี้อีกคน
70.อย่าคิดว่าตนเองเป็นคนโชคร้ายที่สุด และอย่าคิดว่าตนเองเป็นคนโชคดีที่สุด
71.อย่าพูดว่าไม่มาเป็นเราไม่รู้หรอก ถ้างั้นคุณก้อไม่รู้เรื่องของเขาเช่นกัน
72.เหนื่อยนักก้อหยุดพักซะบ้าง
73.อย่าคิดว่าคนดีไม่มีในสังคม เพราะคุณก้อเป็นคนเพียงแต่คุณยังไม่ได้ทำอะไรบางอย่าง
74.ปริศนาในเกมคุณแก้ได้ แล้วทำไมปริศนาในชีวิตคุณแก้ไม่ได้ ในเมื่อบทสรุปอยู่ในตัวคุณ
75.คุณมองเพชรที่ความงามภายในหรือป้ายราคาภายนอก
76.ถ้าคุณกินอาหารเหลือ ลองนึกถึงเด็กที่ไม่มีอันจะกิน
77.มีเรื่องราวอีกมากมายที่ไม่ได้เขียนอยู่ในหนังสือ ลองค้นคว้าดูจะรู้
78.ลูกธนูที่ถูกปล่อยจากหน้าไม้ อันตรายน้อยกว่าหอกที่เเทงมาจากข้างหลัง
79.การถูกหักหลังเป็นสิ่งที่เจ็บปวด อย่าให้มันเกิด
80.ทำยังไง ต้องให้ขโมยขึ้นบ้านก่อน ถึงไปดูรั้วบ้านใช่มั้ย
81.ทำใจกับสิ่งต่างๆล่วงหน้าไว้บ้างก้อดี
82.จะยกตัวอย่าง สมมติคนที่คุณรักจากไปตอนนี้ คุณคิดว่า คุณทำอะไรให้เขาบ้างหรือยัง
83.อย่าตอบว่าทำยังไงก้อตอบแทนไม่หมด ขอถามว่าทำครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
84.คุณทำใจได้แล้วหรือถ้ามันเกิดอะไรขึ้น คุณไปร้องไห้ข้างโลงศพ ยังไงเขาก้อไม่ฟื้นมาได้ยินหรอกนะ
85.ตัวคุณมีค่าอยู่แล้ว อยู่ที่คุณรุ้จักดึงมันออกมาใช้ได้รึเปล่า
86.หัดคุยกับตัวเองซะบ้าง แล้วจะรู้ว่ามีอะไรอีกมากมายที่คุณยังไม่รู้
87.ร่างกายใช้มากี่ปีแล้ว เคยดูแลมันบ้างรึเปล่า หรือเอาไว้เพื่อให้วิญญาณมีที่สิงสถิต
88.การใส่เสื้อสวยๆไม่ช่วยให้ร่างกายดีขึ้นหรอกนะ ที่ดีขึ้นคือบุคลิกต่างหาก
89.หาความสุขของตัวเองให้เจอ หัดมีความสุขซะบ้าง อดีตเราลืมไม่ได้แต่เลิกคิดได้
90.ลองทำอะไรบ้าๆบ้างก้อดี อย่ายึดติดนักเลย
91.ผู้พิมพ์ไม่ใช่คนรู้อะไรมากมาย ไม่ได้มาโชว์ว่าตัวเองอวดรู้ แต่อยากให้คุณได้รุ้อะไรไว้บ้างก้อดี
92.สิ่งที่คุณปล่อยผ่านๆ ไปในชีวิตหรือเรื่องคุณเห็นว่าไม่สำคัญ กลับมาดูเเลตรงนั้นบ้างก้อดี
93.อย่าไว้ใจใครเกินไป ไม่ได้สอนให้ระแวงไม่ไว้ใจใคร แต่ระวังไว้บ้างก้อดี
94.อย่าตามเพื่อนนัก กินเหล้ากิน เล่นไพ่เล่น เที่ยวหญิงเที่ยว
95.ยาเสพติดทุกชนิด อย่าคิดจะลองเด็ดขาด
96.อย่าทำตามเพื่อนเพราะเพื่อนทำกันหมด ร่างกายเขากับร่างกายเรา แน่นอนจิตใจก้อเหมือนกัน
97.ผู้ชายยังไงก้อคือผู้ชาย ผู้หญิงยังไงก้อคือผู้หญิง
98.บางครั้งการอยู่คนเดียวก้อไม่ได้เลวร้ายเสมอไป
99.ไม่มีมิตรถาวรและศัตรูที่เเท้จริง
100.จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อตัวเราเอง คนที่เรา รัก และคนที่อยู่รอบกายเรา

วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2554

ว่ากันว่าความสุขคือ

เค้าว่ากันว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุดของคนเรา คือ....
*การตกหลุมรักใครสักคน

*การได้จูบครั้งแรก

*การได้หัวเราะจนท้องแข็ง

*การได้นั่งอ่านจดหมายเก่าในวันว่าง

*การได้ใช้เวลาว่างในที่ๆ แสนงดงาม

*การได้ฟังเพลงที่ชอบทางวิทยุ

*การได้นอนฟังเสียงฝนตก

*เมื่อเวลาที่เราอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ แล้วเจอผ้าเช็ดตัวอุ่น

*การสอบเสร็จ

*การได้รับโทรศัพท์ จากใครสักคนที่ไม่ได้พบเจอเขาบ่อยนักแต่เราก็อยากจะเจอ

*บทสนทนาดีสักบท

*การเจอเงินที่เราซ่อนไว้ตั้งนานมาแล้ว

*การได้ยิ้มกับใครสักคน

*การได้คุยโทรศัพท์ ได้เป็นชั่วโมง

*การยิ้มโดยไม่ต้องมีเหตุผล

*การถูกชมอย่างกะทันหัน

*การตื่นขึ้นมาแล้วตระหนักได้ว่ามันน่าจะนอนต่อได้อีกตั้งชั่วโมงแน่ะ

*การได้ฟังเพลงที่ทำให้เรานึกถึงคนพิเศษของเรา

*การได้เป็นส่วนหนึ่งของทีม

*การรู้สึกเหมือนผีเสื้อบินว่อนอยู่ในท้องคุณเวลาคุณเจอหน้าเค้าคนนั้น

*การผ่านช่วงเวลานึงไปได้พร้อมกับเพื่อนที่ดีที่สุดของคุณ

*การได้เห็นคนที่คุณชอบมีความสุข

*การได้ใส่เสื้อของคน! ที่เราชอบทั้งๆที่กลิ่นหอมของเค้ายังกรุ่นอยู่

*การได้เจอเพื่อนเก่าอีกครั้งแล้วรู้สึกเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย

*การได้มองท้องฟ้ายามโพล้เพล้

*การได้ยินใครสักคนบอกรักคุณที่สุด