การซิกรุลลอฮฺ
6. “การรำลึก (اَلذِّكْرُ ) ไม่ถูกกำหนดเงื่อนไขด้วยกาลเวลา สถานที่ หรือ วิธีการที่แน่นอน หากแต่จะผสมผสานอยู่ในวิถีชีวิตทั้งหมด ในทุกเวลาและทุกขณะ พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงดำรัสว่า
6. “การรำลึก (اَلذِّكْرُ ) ไม่ถูกกำหนดเงื่อนไขด้วยกาลเวลา สถานที่ หรือ วิธีการที่แน่นอน หากแต่จะผสมผสานอยู่ในวิถีชีวิตทั้งหมด ในทุกเวลาและทุกขณะ พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงดำรัสว่า
(وَاذكُرْرَبَّكَ إِذَانَسِيْتَ )
“และจงรำลึกถึงพระผู้อภิบาลของสูเจ้าเมื่อสูเจ้าหลงลืม” (อัลกะฮฺฟิ : 24)
หมายถึงให้รำลึกเป็นนิจสินและหากเราใคร่ครวญบรรดาโองการที่พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงมีบัญชาให้เราทำการรำลึก เราจะพบว่า การรำลึกนั้นจำต้องควบคู่อยู่ตลอดเวลาสำหรับมนุษย์ จะไม่แยกจากกันเลย
(ألاَبِذِكْرِاللهِ ﺗَﻄْﻤَﺌِﻦُّ الْقُلُوْبُ )
“พึงสังวรณ์ ด้วยการรำลึกถึงองค์พระผู้เป็นเจ้านั้นหัวใจทั้งหลายจะสงบลง”
(อัรเราะอฺดุ : 28)
การแสดงออกต่อธารกำนัลไม่ถือเป็นเงื่อนไขในการรำลึก และเกรงว่าจะมีการโอ้อวด (اَلرِّيَاءُ ) เกิดขึ้นพร้อมกับการแสดงออกนั้น อีกทั้งไม่มีเงื่อนไขว่าการรำลึกต้องมีครูฝึก และไม่ต้องการสื่อกลางแต่อย่างใด...” (ชัรฮุลอัรบะอีน อันนะวาวียะฮฺ , สะมีร อะฮฺมัด อัลอัฏฏ๊อร ; ดารุ้ลอิหม่าม อันนะวาวีย์ ดามัสกัส หน้า 124)
—————————————————————————————————————————————————
ผลร้ายของการประพฤติชั่ว
7. ส่วนหนึ่งจากผลร้ายของการฝ่าฝืนหลักคำสอนของศาสนานั้นคือ
1. มีผลทำให้ชีวิตสั้น ขาดสิริมงคล 7. ทำให้ผู้ฝ่าฝืนขาดความหึงหวงในสิ่งที่ดี
2. มีผลทำให้ผู้ฝ่าฝืนต้องประพฤติชั่วซ้ำซาก 8. ทำลายความละอายต่อบาป
3. ทำให้การเตาบะฮฺ (การสำนึกผิด) อ่อนแอลง 9. ทำให้หัวใจเกิดโรคร้ายและมืดบอด
4. ทำให้ผู้ฝ่าฝืนอัปยศไร้ค่า ณ พระผู้เป็นเจ้า 10. ทำให้ความโปรดปรานหมดไป
5. เป็นเหตุแห่งความวิบัติในโลก 11. ทำให้ผู้ฝ่าฝืนกลายเป็นชนชั้นต่ำ
6. เป็นเหตุให้เกิดธรณีสูบและธรณีพิบัติ 12. เป็นเหตุแห่งการติเตียน
(เก็บความจากอัดดาอุ้ วัดดะวาอฺ / อัลญะวาบุ้ลกาฟี ลิมันซะอะล่า อะนิดดะวา อัชชาฟี ; อิบนุ ก็อยยิม อัลเญาซียะฮฺ ดารุ้ลกุตุบ อัลอิลฺมี่ยะฮฺ เบรุต)
7. ส่วนหนึ่งจากผลร้ายของการฝ่าฝืนหลักคำสอนของศาสนานั้นคือ
1. มีผลทำให้ชีวิตสั้น ขาดสิริมงคล 7. ทำให้ผู้ฝ่าฝืนขาดความหึงหวงในสิ่งที่ดี
2. มีผลทำให้ผู้ฝ่าฝืนต้องประพฤติชั่วซ้ำซาก 8. ทำลายความละอายต่อบาป
3. ทำให้การเตาบะฮฺ (การสำนึกผิด) อ่อนแอลง 9. ทำให้หัวใจเกิดโรคร้ายและมืดบอด
4. ทำให้ผู้ฝ่าฝืนอัปยศไร้ค่า ณ พระผู้เป็นเจ้า 10. ทำให้ความโปรดปรานหมดไป
5. เป็นเหตุแห่งความวิบัติในโลก 11. ทำให้ผู้ฝ่าฝืนกลายเป็นชนชั้นต่ำ
6. เป็นเหตุให้เกิดธรณีสูบและธรณีพิบัติ 12. เป็นเหตุแห่งการติเตียน
(เก็บความจากอัดดาอุ้ วัดดะวาอฺ / อัลญะวาบุ้ลกาฟี ลิมันซะอะล่า อะนิดดะวา อัชชาฟี ; อิบนุ ก็อยยิม อัลเญาซียะฮฺ ดารุ้ลกุตุบ อัลอิลฺมี่ยะฮฺ เบรุต)
—————————————————————————————————————————————————
8. ผลร้ายของการเยินยอ
ในการเยินยอนั้นมีความวิบัติ 6 ประการ 4 ประการจะเกิดแก่ผู้เยินยอ และอีก 2 ประการจะเกิดแก่ผู้ถูกเยินยอ กล่าวคือ
1. ลางทีผู้เยินยอ ยกยอปอปั้นจนเกินเหตุ ผู้เยินยอจึงตกอยู่ในข่ายมุสาวาจา
2. ลางทีผู้เยินยอ แสแสร้งว่ารักใคร่ผู้ถูกเยินยอ ทั้งที่หามีความรักภายในใจต่อผู้ถูกเยินยอไม่ ผู้เยินยอจึงตกอยู่ในข่ายของการเสแสร้งโอ้อวด (ริยาอฺ)
3. ลางทีผู้เยินยอ พูดกล่าวถึงสิ่งที่ตนขาดความมั่นใจ (คือไม่รู้แน่ชัด) ผู้เยินยอจึงพูดในสิ่งที่ตนไม่รู้
4. ผู้เยินยอทำให้ผู้ถูกเยินยอเกิดความสุขใจ ซึ่งบางทีผู้ถูกเยินยอนั้นเป็นคนอธรรม ผู้เยินยอจึงมีบาปเพราะทำให้ความสุขใจเข้าสู่หัวใจของคนอธรรมนั้น
5. คำเยินยอนั้นอาจก่อให้เกิดความหยิ่งผยองและลำพองตนแก่ผู้ที่ถูกเยินยอ
6. ผูู้กเยินยอพึงใจกับคำยกยอปอปั้นนั้น ทำให้ผู้ถูกเยินยอพึงพอใจในตัวเองและลดการประพฤติความดี
ในการเยินยอนั้นมีความวิบัติ 6 ประการ 4 ประการจะเกิดแก่ผู้เยินยอ และอีก 2 ประการจะเกิดแก่ผู้ถูกเยินยอ กล่าวคือ
1. ลางทีผู้เยินยอ ยกยอปอปั้นจนเกินเหตุ ผู้เยินยอจึงตกอยู่ในข่ายมุสาวาจา
2. ลางทีผู้เยินยอ แสแสร้งว่ารักใคร่ผู้ถูกเยินยอ ทั้งที่หามีความรักภายในใจต่อผู้ถูกเยินยอไม่ ผู้เยินยอจึงตกอยู่ในข่ายของการเสแสร้งโอ้อวด (ริยาอฺ)
3. ลางทีผู้เยินยอ พูดกล่าวถึงสิ่งที่ตนขาดความมั่นใจ (คือไม่รู้แน่ชัด) ผู้เยินยอจึงพูดในสิ่งที่ตนไม่รู้
4. ผู้เยินยอทำให้ผู้ถูกเยินยอเกิดความสุขใจ ซึ่งบางทีผู้ถูกเยินยอนั้นเป็นคนอธรรม ผู้เยินยอจึงมีบาปเพราะทำให้ความสุขใจเข้าสู่หัวใจของคนอธรรมนั้น
5. คำเยินยอนั้นอาจก่อให้เกิดความหยิ่งผยองและลำพองตนแก่ผู้ที่ถูกเยินยอ
6. ผูู้กเยินยอพึงใจกับคำยกยอปอปั้นนั้น ทำให้ผู้ถูกเยินยอพึงพอใจในตัวเองและลดการประพฤติความดี
(เก็บความจากปะนาวัร บาฆีย์ ฮะตี ; ชัยค์ อับดุลกอเดร อัลมันดิลีย์ หน้า 33-34)
—————————————————————————————————————————————————
ประเภทของวิชาอ่านลักษณะคน
9. วิชาอ่านลักษณะคน (اَلْفِرَاسَةُ ) มี 3 ชนิด
1.อีมานียะฮฺ (เกี่ยวกับพลังศรัทธา) มีรัศมีที่พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงใส่เอาไว้ในหัวใจของบ่าวเป็นปัจจัยเหตุแก่นแท้ของมันนั้นเป็นการผุดขึ้นในใจที่จู่โจมหัวใจของบ่าวกระโจนเข้าใส่ประหนึ่งดังการกระโจนของราชสีห์ที่เข้าตะครุบเหยื่อ
9. วิชาอ่านลักษณะคน (اَلْفِرَاسَةُ ) มี 3 ชนิด
1.อีมานียะฮฺ (เกี่ยวกับพลังศรัทธา) มีรัศมีที่พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงใส่เอาไว้ในหัวใจของบ่าวเป็นปัจจัยเหตุแก่นแท้ของมันนั้นเป็นการผุดขึ้นในใจที่จู่โจมหัวใจของบ่าวกระโจนเข้าใส่ประหนึ่งดังการกระโจนของราชสีห์ที่เข้าตะครุบเหยื่อ
วิชาแขนงนี้เป็นไปตามพลังความศรัทธา ผู้ใดมีศรัทธาที่แรงกล้าเป็นที่สุด ผู้นั้นเป็นเอกในการอ่านลักษณะคน อบูสุลัยมาน อัดดารอนีย์ (ร.ฮ.) กล่าวว่า : “วิชาอ่านลักษณะคนเป็นการเปิดเผยของจิตและเป็นการมองเห็นถึงข้อตำหนิเยี่ยงการเห็นของตา ถือเป็นหนึ่งจากระดับขั้นของการศรัทธา”
2. ริยาฏียะฮฺ (เกี่ยวกับการฝึกฝน) เกิดขึ้นได้ด้วยความหิว การอดนอนและการเข้าเงียบ (ปลีกวิเวกบำเพ็ญตบะ) ทั้งนี้เมื่อจิตปลอดจากอุปสรรคขวางกั้นทั้งหลาย ก็จะเกิดการรู้แจ้งแก่จิตเป็นไปตามการขัดเกลาให้จิตบริสุทธิ์จากอุปสรรคดังกล่าว วิชาแขนงนี้ร่วมกันทั้งผู้ศรัทธาและผู้ปฏิเสธ และไม่ใช่สิ่งบ่งชี้ถึงศรัทธาและการเป็นวะลีย์แต่อย่างใด อีกทั้งยังเป็นการรู้แจ้งในสิ่งที่ไร้ประโยชน์ และไม่ได้เกิดจากครองตนบนหนทางที่เที่ยงตรง
3. คิลกียะฮฺ (เกี่ยวกับบุคลิกลักษณะทางกาย) คือสิ่งที่บรรดาหมอจะให้ลักษณะเกี่ยวกับการวินิจฉัย โดยพิจารณาจากลักษณะทางร่างกายซึ่งบ่งถึงลักษณะนิสัยใจคอซึ่งสัมพันธ์กัน เช่น การมีศีรษะเล็กจนผิดปกติแสดงว่ามีปัญญา (มันสมอง) เล็ก เป็นต้น
(เก็บความจากชัรฮุ้ลอะกีดะฮฺ อัฏฏ่อฮาวียะฮฺ หน้า 498-499)
(เก็บความจากชัรฮุ้ลอะกีดะฮฺ อัฏฏ่อฮาวียะฮฺ หน้า 498-499)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น