วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ความขัดแย้งในกระจกที่ฉันเห็น

ในกระจก ฉันเห็น.... ฉัน.. สูงเท่าฉัน 
หน้าเหมือนฉัน.. แต่งตัวเหมือนฉัน 
ยิ้มพร้อมฉัน.. ร้องไห้พร้อมฉัน.... 
...ดูเหมือนว่า เราเหมือนกันมาก 
แต่มือข้างขวาของฉัน... กลับไม่ใช่มือข้างขวาของเขา 
หัวใจข้างซ้ายของฉัน.... กลับอยู่ข้างขวาของเขา 
ฉัน กับ เขา..... เรายังไม่เหมือนกัน ทั้งๆ ที่เขาคือเงาของฉัน 
แล้วจะหวังอะไรกับคนอื่น ให้เหมือนเรา
คนเราเกิดมาย่อมต้องอยู่ในสังคมเริ่มตั้งแต่สังคมขนาดเล็กที่สุดคือครอบครัว และเมื่อเติบโตเราก็เริ่มได้สัมผัสกับสังคมที่ใหญ่ขึ้นในโรงเรียน ในวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเรามีเพื่อนนักเรียนนักศึกษา ในที่ทำงานก็มีเพื่อนร่วมงาน สังคมภายนอกที่ใหญ่ขึ้นกว้างขึ้นตามลำดับ การที่อยู่ในหมู่คนจากหลากหลายที่มา อย่างที่เรียกว่าร้อยพ่อพันแม่ กินไม่เหมือนกัน คิดไม่เหมือนกัน ชอบไม่เหมือนกัน ผลประโยชน์ต่างกัน ความขัดแย้งย่อมเกิดขึ้นได้ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ 
จิตใจเอย.. จะสงบได้อย่างไร..! 
เรื่องใหญ่ของเราเป็นเรื่องเล็กของเขา 
เรื่องเล็กของเขา เป็นเรื่องใหญ่ของเรา 
สิ่งที่เขาคิดว่าถูก เรากลับคิดว่าผิด 
สิ่งที่เราคิดว่าผิด เขากลับคิดว่าถูก..! ไม่มีอะไรที่เหมือนกัน 
ความแตกต่างจึงเป็นเรื่องปกติของสังคมมนุษย์

การรังเกียจความขัดแย้งก็ไม่ต่างจากการรังเกียจคราบไคลของเราเอง สิ่งที่ควรทำคือดูว่าจะทำอย่างไรเราถึงจะสามารถใช้ความขัดแย้งนั้นอย่างสร้างสรร ไม่โกรธ ไม่เคือง ต้องใจกว้างยอมรับความจริง เคารพความคิดของทุกคน ภูมิหลังของคนเรา ต่างกัน การศึกษาต่างกัน สมองคนละก้อน แล้วจะให้ใคร ๆ มาคิดเห็นเหมือน ๆ กันได้อย่างไร เตือนตน เตือนใจ เสมอว่าความขัดแย้งเป็นเรื่องของการพัฒนาทางความคิด เป็นความก้าวหน้าขององค์กร.. ของชีวิตและความเป็นอยู่ของมนุษย์หากคิดได้เช่นนี้แล้วความอึดอัด ขัดเคืองจะจางลง ต่างคนต่างก็จะทำงานด้วยความสุข ทุกคนมีอิสรภาพในการพูดเสนอสิ่งที่ตัวเองเห็นและคิด การมองต่างมุมถือเป็นการร่วมมือกันในการทำงานหากทุกคนล้วนมีจุดหมายปลายทางเดียวกัน โดยต้องสละแล้วซึ่งผลประโยชน์ และทิฐิของตนเอง 
ใจที่เปิดกว้าง ย่อมมีโอกาสเติมเอาประสบการณ์ใหม่ ๆ 
ใจที่คับแคบ ย่อมเป็นประดุจน้ำที่เต็มถ้วย 
ฉลาดหรือโง่ ตนเองเป็นคนลิขิต 
จริง ๆ "ความขัดแย้ง" ไม่ใช่ปัญหา ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย 
หากแต่เป็นธรรมชาติของมนุษย์เรา ถ้าเราไม่ถือสา ไม่ขุ่นเคือง 
แต่นำความคิดเห็นทั้งหลายมากลั่นกรองให้เป็นเอกภาพ 
เราก็จะได้ชื่อว่าเป็นคนฉลาด

คนอาภัพนั้นมิใช่คนจนหรือกระยาจก แต่ก็คือ คนที่ทำใจไม่ได้เมื่อมีใครไม่ เห็นด้วยกับความคิดเห็นของตัวเอง อย่าหลงคิดว่าความคิดเห็นของตัวเอง "ถูกต้องที่สุดโดยลืมไปว่าระหว่างสีดำและสีขาวยังมีสีเทาอยู่..! " มัวแต่หลงว่าเมื่อฉันชี้นิ้ว หมายถึงทุกคนต้องเดินตาม แล้วเราจะใหญ่ปานนั้นได้ตลอดไปหรือไม่ ? อย่างจริงจังกับ ความคิดของตัวเองจนเกินไปมิฉะนั้นวันหนึ่งคุณอาจจะกลายเป็น "สุนัขขี้เรื้อน" ที่เป็นแผลอยู่เต็มตัว…..! แม้เพียงแค่ลมพัดผ่านก็คันไปทั้งตัวแล้ว และก็คงไม่มีใครอยากอยู่ใกล้สุนัขขี้เรื้อน 
เพื่อความสุขสงบและสุขภาพจิตของตนเอง 
เพื่อการทำงานอย่างมีความสุข ทั้งของตัวเองและเพื่อนร่วมงาน 
เพื่อปัญญาและปรีชาญาณที่จะติดตัวไปตลอดชีวิต ตลอดเวลา 
ขอบอกว่า "อย่ารังเกียจความขัดแย้ง" เลย... เพราะนี่คือ ขุมทรัพย์ที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม 
เพียงแค่เปิดใจยอมรับ แล้วพากเพียร พยายามฝึกหัดทำใจให้กว้างเท่านั้นเอง..!

อีกสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเวลากับชิวิตของคนเราคือความสุขและความทุกข์ สุขเพราะได้ในสิ่งที่ต้องการได้ในสิ่งที่รัก และทุกข์เมื่อต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก หรือประสบกับสิ่งที่ไม่รักไม่ชอบไม่ถูกใจก็เป็นทุกข์ คนเราย่อมต้องมีชีวิตทั้งสุขและทุกข์ปะปนกันไป เหมือนเหรียญที่มีสองด้าน วันที่มีกลางวันและกลางคืน เพราะนั้นคือประสบการณ์ที่จะช่วยให้เรามีชีวิตที่แข็งแกร่ง 
ประสบการณ์สร้างสมความฉลาด 
ประสบการณ์เป็นข้อมูลดิบของภาคปฏิบัติ 
ไร้ประสบการณ์ โอกาสฉลาดก็ย่อมหมดไป 
เพราะประสบการณ์ย่อมหมายถึง ความผิดหวัง ความสมหวัง 
หมายถึง...ความสุข และ ความทุกข์ 
หมายถึงการต่อสู้ที่มีทั้งรอยยิ้มและน้ำตา

น่าเสียดายคนที่มีชีวิตจมอยู่ในความสุขมักจะทำให้คนเหล่านั้นลุ่มหลง มัวเมา อ่อนแอ ไม่อดทน การที่คนเราคุ้นเคยและเคยชินกับความสุขจนเกินไป ไม่มีโอกาสเรียนรู้ หรือประสบกับความทุกข์อาจทำให้คนๆ นั้นไม่เข้มแข็ง ไม่อดทน และบ่อยครั้งที่ชีวิตของคนๆ นั้นอาจจะไปไม่รอดเพราะความอ่อนแอทำให้เขามัวแต่วิ่งหนี 
คนที่มัวแต่วิ่งหนีจะไม่มีวันชนะ หากเราเหนื่อยก็จงหยุดพักแต่อย่าหนี 
การเผชิญหน้ากับปัญหานั่นแหละคือหนทางที่จะชนะ



วันหนึ่ง คุณครูไห้นักเรียนเขียนรายงาน 7 สิ่งที่คุณคิดว่า คือสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในปัจจุบันนี้ ถึงแม้จะมีบางอย่างที่ไม่เป็นเอกฉัน แต่ก็สามารถสรุปได้ดังนี้
1. ปีรามิคแห่งอียิปต์                     2.ทัชมาฮาล                      3. แกรนแคนยอน
4. คลองปานามา       5.ตึกเอ็มไพรท์สเตท      6.มหาวิหารเซ็นต์ปีเตอร์    7. กำแพงเมืองจีน
ขณะนั้น ครูก็สังเกตุเห็นนักเรียนคนหนึ่ง ยังตอบไม่เสร็จสักที จึงถามไปว่ามีปัญหาอะไรหริอเปล่า นักเรียนหญฺงคนนั้นก็ตอบว่า มีนิดหน่อยค่ะ หนูตัดสินใจไม่ถูกเพราะมีมากมายเหลือเกิน คุณครูจึงพูดว่า งั้นลองบอกพวกเราหน่อยสิ ว่าหนูรวบรวมได้อะไรบ้าง เพื่อพวกเราจะได้ช่วยได้ เด็กน้อยรู้สึกรังเรและตอบว่า หนูคิดว่า สิ่งมหัศจรรย์ 7 อย่างของโลกคือ
1. การมองเห็น           2. การได้ยิน              3. การสัมผัส
4. การรู้รส               5 การรู้สึก             6 การหัวเราะ           7.ความรัก
ทั่งทั้งห้องเงียบสงัด ขนาดสามารถได้ยินแม้แต่เสียงเข็มตกสัมผัสพื้น สิ่งมหัสจรรย์ที่สุดที่เรามองข้ามไปนั้นคือ สิ่งที่เรียบง่ายและธรรมดามาก และเพื่อเป็นการเตือนความทรงจำแบบง่ายๆจึงอาจกล่าวได้ว่า สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของคนเรานั้น ไม่สามารถสร้างขึ้นด้วยมือ และหาซื้อได้โดยมนุษย์ คือสิ่งมหัศจรรย์

 การที่เราเกิดมาในโลกนี้ และต้องพบกับปัญหา ความหงุดหงิดใจ ความรำคาญใจ ความผิดหวัง ในเรื่องต่างๆ มากมาย และบ่อยครั้งที่เราไม่อยากต่อสู้ เหนื่อยหน่าย ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ผมอยากฝากข้อคิดไว้ว่า 
  • สำหรับเสียงบ่นของพ่อแม่ที่อยากให้ลูกเป็นคนดี เพราะนั่นหมายถึงฉันคือคนที่พ่อแม่รักและห่วงใยที่สุดในโลก
  • สำหรับคนที่เรารักแต่เขาไม่รักเรา เพราะนั่นหมายถึงฉันกำลังได้รับโอกาสในชีวิตอีกครั้งหนึ่ง
  • สำหรับสามีที่นอนกรนทั้งคืน เพราะนั่นหมายถึงเขากำลังหลับอยู่ที่บ้านกับฉัน ไม่ใช่กับผู้หญิงอื่น
  • สำหรับลูกสาววัยรุ่นที่กำลังบ่นเรื่องล้างจานอยู่ เพราะนั่นหมายถึงเธออยู่บ้าน ไม่ใช่ที่ถนน
  • สำหรับข้าวของต่างๆ ที่ต้องคอยเก็บหลังงานปาร์ตี้ เพราะนั่นหมายถึงฉันถูกห้อมล้อมด้วยเพื่อนฝูง
  • สำหรับเสื้อผ้าที่พอดีจนเกือบจะคับเกินไป เพราะนั่นหมายถึงฉันมีกิน
  • สำหรับเงาที่คอยมองดูฉันทำงาน เพราะนั่นหมายถึงฉันกำลังได้รับแสงแดด
  • สำหรับพื้นที่ต้องคอยขัดถู และหน้าต่างที่ต้องทำความสะอาด เพราะนั่นหมายถึงฉันมีบ้านอยู่
  • สำหรับผ้ากองโตที่รอการซักรีด เพราะนั่นหมายถึงฉันมีเสื้อผ้าสวมใส่
  • สำหรับความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าทุกสิ้นวัน เพราะนั่นหมายถึงฉันยังสามารถทำงานหนักได้
  • สำหรับคำบ่นต่างๆ ที่มีต่อรัฐบาล เพราะนั่นหมายถึงเรามีอิสระในการแสดงความคิดเห็น
  • สำหรับภาษีที่ต้องเสีย เพราะนั่นหมายถึงฉันมีงานทำ
  • สำหรับที่จอดรถที่อยู่ไกลสุดของลานจอดรถ เพราะนั่นหมายถึงฉันสามารถเดินได้ และฉันมีรถขับ
  • สำหรับเสียงปลุกในทุกๆ เช้า เพราะนั่นหมายถึงฉันยังมีชีวิตอยู่
    และสุดท้าย.......ผมอยากจะฝากไว้ว่า
ตลอดระยะเวลาที่เราอยู่บนโลกใบนี้ไม่ว่าเราจะต้องประสบกับเหตุการณ์อะไรก็ตาม บางครั้งสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เราต้องเศร้าต้องเสียน้ำตา บ่อยครั้งที่เราท้อแท้และหมดกำลัง แต่หากเรารู้จักที่จะมองต่างมุมสำหรับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้แล้ว คุณจะเข้าใจว่าทั้งหมดคือของขวัญจากพระเจ้า ที่จะช่วยสอนให้เรารู้จักตนเอง รู้จักที่จะรัก รู้จักที่จะยอมรับกับสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ช่วยให้เรายืนได้ด้วยตนเองอย่างมั่นคง ช่วยชี้หนทางที่จะเอาชนะอุปสรรค์ทั้งหลาย และเอาชนะใจตนเอง ดังนั้นจงรู้จักมองโลกในแง่ดีเพื่อให้พวกเราสามารถดำเนินชีวิตไปได้อย่างมีความสุข 




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น