การนอบน้อมถ่อมตนกับบุคคล ๓ จำพวก(๒๗)
แปลและเรียบเรียงโดย อะคีย์ ฟิตยะตุลฮัก
อัลกิซัยเป็นครูพิเศษของอมีนและมะมูน(ลูกชายสองคนของฮารูน อัรรอชีด(ผู้ปกครองในสมัยนั้น)) วันหนึ่ง ครูพิเศษลุกขึ้นเพื่อกลับที่พักและเด็กผู้ชายทั้งสองคนวิ่งไปยังครูพิเศษของเขาด้วยความเคารพเพื่อยื่นรองเท้าให้ท่านสวม หลังจากโต้แย้งกันครู่หนึ่ง ทั้งสองคนตกลงกันว่า จะยื่นรองเท้าให้ครูของเขาคนละข้าง ดังนั้น ทั้งสองคนจึงได้แสดงความเคารพยกย่องแก่ครูของเขาทั้งคู่ เมื่อฮารูน อัรรอชีดได้ยินเรื่องนี้ เขาจึงไปหากิซัยและถามว่า “ใครคือคนที่มีเกียรติมากที่สุด?” กิซัยจึงตอบว่า “ฉันไม่ทราบว่ามีใครอื่นที่มีเกียรติมากกว่าผู้นำของบรรดาผู้ศรัทธา” ฮารูน อัรรอชีด ตอบกลับไปอย่างทันทีทันใดว่า “ไม่ คนที่มีเกียรติมากที่สุดในหมู่ผู้คนคือบุคคลที่คนสองคนได้โต้เถียงกันเพื่อนำรองเท้าไปให้เขาและเพื่อให้รู้สึกพึงพอใจทั้งสองฝ่าย เขาแนะนำให้พวกเขาแบ่งรองเท้ากันคนละข้าง”
กิซัยเริ่มมีความกังวลจึงได้อธิบายสิ่งที่เขาได้ทำไป ฮารูนกล่าวว่า “ถ้าท่านไม่ยอมให้พวกเขายื่นรองเท้าให้ท่านในวันนั้น วันนี้ฉันจะต้องตำหนิฉันอย่างแน่นอน เพราะการกระทำของพวกเขาไม่คู่ควรกับเกียรติยศของพวกเขา ในทางกลับกันสถานะของพวกเขา(คุณธรรมและความดีงาม)กลับได้รับการยกระดับขึ้น คนเราไม่สามารถถูกทำให้เสียเกียรติได้ หากเขาแสดงความนอบน้อมถ่อมตนต่อบุคคล ๓ จำพวกคือ ผู้นำ ครูบาอาจารย์ และพ่อแม่”
แปลและเรียบเรียงโดย อะคีย์ ฟิตยะตุลฮัก
อัลกิซัยเป็นครูพิเศษของอมีนและมะมูน(ลูกชายสองคนของฮารูน อัรรอชีด(ผู้ปกครองในสมัยนั้น)) วันหนึ่ง ครูพิเศษลุกขึ้นเพื่อกลับที่พักและเด็กผู้ชายทั้งสองคนวิ่งไปยังครูพิเศษของเขาด้วยความเคารพเพื่อยื่นรองเท้าให้ท่านสวม หลังจากโต้แย้งกันครู่หนึ่ง ทั้งสองคนตกลงกันว่า จะยื่นรองเท้าให้ครูของเขาคนละข้าง ดังนั้น ทั้งสองคนจึงได้แสดงความเคารพยกย่องแก่ครูของเขาทั้งคู่ เมื่อฮารูน อัรรอชีดได้ยินเรื่องนี้ เขาจึงไปหากิซัยและถามว่า “ใครคือคนที่มีเกียรติมากที่สุด?” กิซัยจึงตอบว่า “ฉันไม่ทราบว่ามีใครอื่นที่มีเกียรติมากกว่าผู้นำของบรรดาผู้ศรัทธา” ฮารูน อัรรอชีด ตอบกลับไปอย่างทันทีทันใดว่า “ไม่ คนที่มีเกียรติมากที่สุดในหมู่ผู้คนคือบุคคลที่คนสองคนได้โต้เถียงกันเพื่อนำรองเท้าไปให้เขาและเพื่อให้รู้สึกพึงพอใจทั้งสองฝ่าย เขาแนะนำให้พวกเขาแบ่งรองเท้ากันคนละข้าง”
กิซัยเริ่มมีความกังวลจึงได้อธิบายสิ่งที่เขาได้ทำไป ฮารูนกล่าวว่า “ถ้าท่านไม่ยอมให้พวกเขายื่นรองเท้าให้ท่านในวันนั้น วันนี้ฉันจะต้องตำหนิฉันอย่างแน่นอน เพราะการกระทำของพวกเขาไม่คู่ควรกับเกียรติยศของพวกเขา ในทางกลับกันสถานะของพวกเขา(คุณธรรมและความดีงาม)กลับได้รับการยกระดับขึ้น คนเราไม่สามารถถูกทำให้เสียเกียรติได้ หากเขาแสดงความนอบน้อมถ่อมตนต่อบุคคล ๓ จำพวกคือ ผู้นำ ครูบาอาจารย์ และพ่อแม่”
สิ่งที่ทำให้ประชาชาตินี้เคยเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในหน้าประวัติศาสตร์
แปลโดย...อะคีย์ ฟิตยะตุลฮัก
อิซาม อัลอัฏฏอร นักเผยแผ่อิสลามผู้มีชื่อเสียง กล่าวว่า “โอ้ผู้ที่คลั่งไคล้ในความเป็นชาติอาหรับ(ชาตินิยม)ทั้งหลาย เราไม่ได้กลายมาเป็นผู้ที่มีอำนาจในหน้าประวัติศาสตร์ของโลกนี้ด้วยคุณลักษณะหรือแบบอย่างของอบูญะฮัลหรืออบูละฮับแต่ด้วยกับคุณลักษณะหรือแบบอย่างของท่านนบีมุฮัมมัด ท่านอบูบักร ท่านอุมัร....ต่างหากที่ทำให้เราบรรลุสู่ตำแหน่งนั้น เราไม่ได้มีอำนาจปกครองโลกนี้ด้วยบทกวีที่มีชื่อเสียงของอาหรับ แต่เราได้รับอำนาจให้ปกครองโลกนี้ด้วยอัลกุรอ่านอันทรงเกียรติ และเราไม่ได้เผยแผ่สาส์นของลาตและอุซซา แต่เราเผยแผ่สาส์นของอัลลอฮฺผู้ทรงเอกะเท่านั้น
แปลโดย...อะคีย์ ฟิตยะตุลฮัก
อิซาม อัลอัฏฏอร นักเผยแผ่อิสลามผู้มีชื่อเสียง กล่าวว่า “โอ้ผู้ที่คลั่งไคล้ในความเป็นชาติอาหรับ(ชาตินิยม)ทั้งหลาย เราไม่ได้กลายมาเป็นผู้ที่มีอำนาจในหน้าประวัติศาสตร์ของโลกนี้ด้วยคุณลักษณะหรือแบบอย่างของอบูญะฮัลหรืออบูละฮับแต่ด้วยกับคุณลักษณะหรือแบบอย่างของท่านนบีมุฮัมมัด ท่านอบูบักร ท่านอุมัร....ต่างหากที่ทำให้เราบรรลุสู่ตำแหน่งนั้น เราไม่ได้มีอำนาจปกครองโลกนี้ด้วยบทกวีที่มีชื่อเสียงของอาหรับ แต่เราได้รับอำนาจให้ปกครองโลกนี้ด้วยอัลกุรอ่านอันทรงเกียรติ และเราไม่ได้เผยแผ่สาส์นของลาตและอุซซา แต่เราเผยแผ่สาส์นของอัลลอฮฺผู้ทรงเอกะเท่านั้น
เรื่องราวของอิบนุ ญุดอาน
แปลโดย...อะคีย์ ฟิตยะตุลฮัก
เมื่อเรานึกย้อนกลับไปยุคก่อนหน้าอิสลามในเมืองมักกะฮฺ ชื่อที่จะปรากฏขึ้นมา ได้แก่ อับดุลมุฏฏอลิบ (ปู่ของท่านนบี) หรือ วะรอเกาะฮฺ บิน เนาฟัล แต่ยังมีคนสำคัญอื่นอีกคนหนึ่งที่คนในปัจจุบันอาจจะหลงลืมไป เขาผู้นั้นคือ “อับดุลลอฮฺ บิน ญุดอาน” ลูกพี่ลูกน้องคนแรกของบิดาของท่านอบูบักร อัศศิดดิก ในช่วงต้นของชีวิต อับดุลลอฮฺ บิน ญุดอาน มีชีวิตที่รันทดและขมขื่น ทั้งอดอยากและยากจน ต้องทนขมขื่นกับชีวิต แทนที่เขาจะอดทนและยอมรับการทดสอบนั้น เขากลับไปกระทำความชั่วมากมาย จนทำให้เขาโดนจับครั้งแล้วครั้งเล่า จนผู้คนต่างเชื่อว่าพฤติกรรมของเขาคงแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ทุกคนต่างเกลียดเขา แม้แต่พี่น้องของเขา ครอบครัวของเขาและบิดาของเขาเองก็ต่างเกลียดชังในตัวเขา เขาจึงเกลียดทุกคนเช่นเดียวกัน
วันหนึ่ง ในขณะที่เขากำลังเดินอยู่ท่ามกลางหุบเขาในเมืองมักกะฮฺกำลังครุ่นคิดถึงชีวิตที่ขมขื่นด้วยความเศร้าสลด ทันใดนั้น เขาเหลือบเห็นช่องเล็กๆในภูเขาลูกหนึ่ง บางทีมันอาจจะเป็นทางเข้าถ้ำก็ได้ เขาคิดว่าอาจจะมีสิ่งที่เป็นอันตรายอยู่ข้างใน อาจจะเป็นงูพิษ แต่ความคิดเช่นนั้นไม่สามารถหยุดเขาจากการเดินไปยังภูเขาลูกนั้นได้ แต่มันกลับกระตุ้นให้เขาเดินไปยังที่นั่น เพราะเขาไม่มีความหวังอะไรในชีวิตอีกแล้ว ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเขาเองก็อยากจะถูกฆ่าเช่นกันเพื่อให้หลุดพ้นจากความขมขื่นของชีวิต
เมื่อเขาเข้าไปใกล้ปากถ้ำ เขาเห็นโครงร่างผอมๆภายในถ้ำ ด้วยความมืดของถ้ำ เขาจินตนาการว่าสิ่งนั้นน่าจะเป็นงูในลักษณะที่ชูคอขึ้นมา ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของงูพิษเมื่อมันพร้อมที่จะจู่โจม อับดุลลอฮฺ บิน ญุดอานจึงเกิดความกลัวและเลิกล้มความตั้งใจที่จะอยากตาย เขาจินตนาการว่า งูกำลังเลื้อยมาหาเขา เขาจึงกระโดดอย่างรวดเร็ว พยายามป้องกันตนเองไม่ให้ถูกงูกัด ต่อมา เขาควบคุมสติได้และตระหนักได้ว่า มีเพียงเขาเท่านั้นที่เคลื่อนที่แต่งูตัวนั้นยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิมของมัน เขาจึงเดินเข้าไปใกล้มากขึ้น เขาพบว่าเงาดำที่เขาเห็นเป็นเพียงรูปปั้นงูตัวหนึ่งเท่านั้น โดยรูปปั้นงูตัวนี้ทำมาจากทองคำและดวงตาทั้งสองข้างของมันทำมาจากมรกตที่ล้ำค่า เขาจึงทุบเพื่อเอามรกตออกมา จากนั้น เขาจึงเดินลึกเข้าไปในถ้ำมากขึ้นและจากแผ่นบันทึกที่อยู่รอบๆถ้ำทำให้เขาเข้าใจว่า ถ้ำแห่งนี้คือหลุมฝังศพของบรรดากษัตริย์เผ่าญุรฮุม ข้างหน้าของหลุมศพแต่ละหลุมมีแผ่นหินทองคำซึ่งสลักชื่อกษัตริย์ที่ถูกฝังในหลุมนั้นพร้อมชีวประวัติสั้นๆ รอบๆหลุมฝังศพเหล่านั้นมีคลังสมบัติมากมาย เช่น ทองคำ เงิน ไข่มุก หินที่มีค่าและอื่นๆอีกมากมาย
อับดุลลอฮฺ บิน ญุดอานหยิบสมบัติบางส่วนออกมา เขาได้ทำสัญลักษณ์ไว้ด้านนอกถ้ำเพื่อเขาจะได้กลับมาอีกครั้ง หลังจากนั้น เขาจึงกลับไปยังกลุ่มชนของเขา เขาเผื่อแผ่ทรัพย์สมบัติที่เขาได้พบเจอมา ให้แก่ครอบครัว เพื่อนฝูงและคนยากจนขัดสน เขาใจบุญเป็นพิเศษในการเรียกผู้คนมารวมตัวกันและบริการอาหารให้แก่พวกเขา เมื่อวันเวลาผ่านไป เขาได้รับเกียรติจากผู้คนในสังคมจนกระทั่งเขากลายเป็นหนึ่งในผู้นำของชาวกุเรช ทุกครั้งที่เงินสะสมร่อยหรอลง เขาจะกลับไปยังถ้ำแห่งนั้นและนำทรัพย์สมบัติบางส่วนออกมา ความใจบุญของเขาส่งไปถึงยังชายแดนของเมืองมักกะฮฺ ครั้งหนึ่ง เมื่อชาวเมืองชามประสบกับความเดือดร้อน อับดุลลอฮฺ บิน ญุดอาน ได้ส่งอูฐจำนวน ๒,๐๐๐ ตัวไปให้พวกเขา แต่ละตัวจะบรรทุก ข้าวสาลี น้ำมันและเสบียงอื่นๆ และทุกค่ำคืน จะมีคนยืนขึ้นบนหลังคาของกะอฺบะฮฺและร้องตะโกนว่า “จงมารับอาหารจากอับดุลลอฮฺ บิน ญุดอานกันเถิด”
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเรื่องราวทั้งหมดจะดำเนินไปอย่างนั้น แต่ต่อไปนี้คือเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเขาซึ่งได้รับการบันทึกไว้ในหนังสือซอฮีฮฺมุสลิม
ท่านหญิงอาอิชะฮฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮา ได้ถามท่านรอซูลุลลอฮฺ ว่า “แท้จริง อิบนุ ญุดอานเคยให้อาหาร(แก่ผู้คน)และเขาเป็นคนที่มีความโอบอ้อมอารีต่อแขกของเขา สิ่งเหล่านั้นจะเป็นประโยชน์แก่เขาในวันแห่งการตัดสินตอบแทนหรือไม่?” ท่านรอซูลุลลอฮฺ ตอบว่า “ไม่เลย เพราะแท้จริง ไม่มีวันใดเลยที่เขากล่าวว่า โอ้พระผู้อภิบาลของฉัน ขอพระองค์ทรงอภัยโทษให้แก่ฉันในวันแห่งการตอบแทนด้วยเถิด”
แปลโดย...อะคีย์ ฟิตยะตุลฮัก
เมื่อเรานึกย้อนกลับไปยุคก่อนหน้าอิสลามในเมืองมักกะฮฺ ชื่อที่จะปรากฏขึ้นมา ได้แก่ อับดุลมุฏฏอลิบ (ปู่ของท่านนบี) หรือ วะรอเกาะฮฺ บิน เนาฟัล แต่ยังมีคนสำคัญอื่นอีกคนหนึ่งที่คนในปัจจุบันอาจจะหลงลืมไป เขาผู้นั้นคือ “อับดุลลอฮฺ บิน ญุดอาน” ลูกพี่ลูกน้องคนแรกของบิดาของท่านอบูบักร อัศศิดดิก ในช่วงต้นของชีวิต อับดุลลอฮฺ บิน ญุดอาน มีชีวิตที่รันทดและขมขื่น ทั้งอดอยากและยากจน ต้องทนขมขื่นกับชีวิต แทนที่เขาจะอดทนและยอมรับการทดสอบนั้น เขากลับไปกระทำความชั่วมากมาย จนทำให้เขาโดนจับครั้งแล้วครั้งเล่า จนผู้คนต่างเชื่อว่าพฤติกรรมของเขาคงแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ทุกคนต่างเกลียดเขา แม้แต่พี่น้องของเขา ครอบครัวของเขาและบิดาของเขาเองก็ต่างเกลียดชังในตัวเขา เขาจึงเกลียดทุกคนเช่นเดียวกัน
วันหนึ่ง ในขณะที่เขากำลังเดินอยู่ท่ามกลางหุบเขาในเมืองมักกะฮฺกำลังครุ่นคิดถึงชีวิตที่ขมขื่นด้วยความเศร้าสลด ทันใดนั้น เขาเหลือบเห็นช่องเล็กๆในภูเขาลูกหนึ่ง บางทีมันอาจจะเป็นทางเข้าถ้ำก็ได้ เขาคิดว่าอาจจะมีสิ่งที่เป็นอันตรายอยู่ข้างใน อาจจะเป็นงูพิษ แต่ความคิดเช่นนั้นไม่สามารถหยุดเขาจากการเดินไปยังภูเขาลูกนั้นได้ แต่มันกลับกระตุ้นให้เขาเดินไปยังที่นั่น เพราะเขาไม่มีความหวังอะไรในชีวิตอีกแล้ว ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเขาเองก็อยากจะถูกฆ่าเช่นกันเพื่อให้หลุดพ้นจากความขมขื่นของชีวิต
เมื่อเขาเข้าไปใกล้ปากถ้ำ เขาเห็นโครงร่างผอมๆภายในถ้ำ ด้วยความมืดของถ้ำ เขาจินตนาการว่าสิ่งนั้นน่าจะเป็นงูในลักษณะที่ชูคอขึ้นมา ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของงูพิษเมื่อมันพร้อมที่จะจู่โจม อับดุลลอฮฺ บิน ญุดอานจึงเกิดความกลัวและเลิกล้มความตั้งใจที่จะอยากตาย เขาจินตนาการว่า งูกำลังเลื้อยมาหาเขา เขาจึงกระโดดอย่างรวดเร็ว พยายามป้องกันตนเองไม่ให้ถูกงูกัด ต่อมา เขาควบคุมสติได้และตระหนักได้ว่า มีเพียงเขาเท่านั้นที่เคลื่อนที่แต่งูตัวนั้นยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิมของมัน เขาจึงเดินเข้าไปใกล้มากขึ้น เขาพบว่าเงาดำที่เขาเห็นเป็นเพียงรูปปั้นงูตัวหนึ่งเท่านั้น โดยรูปปั้นงูตัวนี้ทำมาจากทองคำและดวงตาทั้งสองข้างของมันทำมาจากมรกตที่ล้ำค่า เขาจึงทุบเพื่อเอามรกตออกมา จากนั้น เขาจึงเดินลึกเข้าไปในถ้ำมากขึ้นและจากแผ่นบันทึกที่อยู่รอบๆถ้ำทำให้เขาเข้าใจว่า ถ้ำแห่งนี้คือหลุมฝังศพของบรรดากษัตริย์เผ่าญุรฮุม ข้างหน้าของหลุมศพแต่ละหลุมมีแผ่นหินทองคำซึ่งสลักชื่อกษัตริย์ที่ถูกฝังในหลุมนั้นพร้อมชีวประวัติสั้นๆ รอบๆหลุมฝังศพเหล่านั้นมีคลังสมบัติมากมาย เช่น ทองคำ เงิน ไข่มุก หินที่มีค่าและอื่นๆอีกมากมาย
อับดุลลอฮฺ บิน ญุดอานหยิบสมบัติบางส่วนออกมา เขาได้ทำสัญลักษณ์ไว้ด้านนอกถ้ำเพื่อเขาจะได้กลับมาอีกครั้ง หลังจากนั้น เขาจึงกลับไปยังกลุ่มชนของเขา เขาเผื่อแผ่ทรัพย์สมบัติที่เขาได้พบเจอมา ให้แก่ครอบครัว เพื่อนฝูงและคนยากจนขัดสน เขาใจบุญเป็นพิเศษในการเรียกผู้คนมารวมตัวกันและบริการอาหารให้แก่พวกเขา เมื่อวันเวลาผ่านไป เขาได้รับเกียรติจากผู้คนในสังคมจนกระทั่งเขากลายเป็นหนึ่งในผู้นำของชาวกุเรช ทุกครั้งที่เงินสะสมร่อยหรอลง เขาจะกลับไปยังถ้ำแห่งนั้นและนำทรัพย์สมบัติบางส่วนออกมา ความใจบุญของเขาส่งไปถึงยังชายแดนของเมืองมักกะฮฺ ครั้งหนึ่ง เมื่อชาวเมืองชามประสบกับความเดือดร้อน อับดุลลอฮฺ บิน ญุดอาน ได้ส่งอูฐจำนวน ๒,๐๐๐ ตัวไปให้พวกเขา แต่ละตัวจะบรรทุก ข้าวสาลี น้ำมันและเสบียงอื่นๆ และทุกค่ำคืน จะมีคนยืนขึ้นบนหลังคาของกะอฺบะฮฺและร้องตะโกนว่า “จงมารับอาหารจากอับดุลลอฮฺ บิน ญุดอานกันเถิด”
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเรื่องราวทั้งหมดจะดำเนินไปอย่างนั้น แต่ต่อไปนี้คือเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเขาซึ่งได้รับการบันทึกไว้ในหนังสือซอฮีฮฺมุสลิม
ท่านหญิงอาอิชะฮฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮา ได้ถามท่านรอซูลุลลอฮฺ ว่า “แท้จริง อิบนุ ญุดอานเคยให้อาหาร(แก่ผู้คน)และเขาเป็นคนที่มีความโอบอ้อมอารีต่อแขกของเขา สิ่งเหล่านั้นจะเป็นประโยชน์แก่เขาในวันแห่งการตัดสินตอบแทนหรือไม่?” ท่านรอซูลุลลอฮฺ ตอบว่า “ไม่เลย เพราะแท้จริง ไม่มีวันใดเลยที่เขากล่าวว่า โอ้พระผู้อภิบาลของฉัน ขอพระองค์ทรงอภัยโทษให้แก่ฉันในวันแห่งการตอบแทนด้วยเถิด”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น